คู่แข่งตลอดกาลของ บาเยิร์น มิวนิค
มหาศึกสงครามระหว่างบาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
การแข่งขันระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่ได้เป็นเพียงเกมฟุตบอลทั่วไป แต่ถูกยกสถานะให้เป็น "แดร์ คลาสสิเคอร์" (Der Klassiker) ซึ่งแปลว่า "เกมคลาสสิก" หรือ "สุดยอดคู่ปรับ" แห่งวงการฟุตบอลเยอรมนี ความเป็นอริของทั้งสองสโมสรมีความสำคัญและดึงดูดความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลกในระดับเดียวกับคู่ปรับสำคัญอื่น ๆ ของยุโรป แม้ว่าทั้งสองทีมจะไม่ได้อยู่ในเมืองเดียวกันและไม่มีประวัติศาสตร์การเป็นคู่แข่งร่วมเมืองเหมือนดาร์บี้แมตช์ทั่วไป แต่ความขัดแย้งนี้เติบโตขึ้นจากความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ความขัดแย้งด้านอำนาจในสนาม และการชิงความเป็นหนึ่งในเยอรมนี
จุดเริ่มต้นของความเป็นคู่แข่งที่แท้จริงนี้เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1990 และเร่งตัวขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษ 2010 เมื่อดอร์ทมุนด์ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจของบาเยิร์นอย่างจริงจังในบุนเดสลีกา การต่อสู้เพื่อแย่งชิงแชมป์ลีกและถ้วย DFB-Pokal กลายเป็นเรื่องราวหลักของฟุตบอลเยอรมนีตลอดหลายปี ความตึงเครียดถึงจุดสูงสุดเมื่อทั้งสองทีมโคจรมาพบกันในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2013 ที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งบาเยิร์นคว้าชัยไปได้ในนาทีสุดท้าย ทำให้การแข่งขันนี้ถูกจารึกว่าเป็นมหาศึกระดับยุโรปอย่างแท้จริง
ปัจจัยสำคัญที่เติมเชื้อไฟให้กับ Der Klassiker คือ นโยบายการซื้อตัวนักเตะ ของบาเยิร์น มิวนิค บาเยิร์นถูกมองว่าเป็นทีมที่มักจะ "ดูด" ผู้เล่นที่ดีที่สุดจากคู่แข่งโดยตรง โดยเฉพาะจากดอร์ทมุนด์ ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือการย้ายทีมของ มาริโอ เกิทเซ่, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และ แมตส์ ฮุมเมิ่ลส์ ซึ่งการย้ายทีมเหล่านี้เป็นการย้ายจากทีมอันดับ 2 ไปยังทีมอันดับ 1 ของประเทศโดยตรง การกระทำนี้ถูกแฟนบอลดอร์ทมุนด์มองว่าเป็นการทำลายความสมดุลและความพยายามในการสร้างทีมของคู่แข่ง ทำให้เกิดความเกลียดชังและแรงผลักดันที่จะต้องเอาชนะบาเยิร์นให้ได้มากขึ้นในการแข่งขันทุกครั้งที่พบกัน
แม้ว่าในช่วงหลังบาเยิร์นจะครองความยิ่งใหญ่ในบุนเดสลีกาได้ยาวนานกว่า แต่ Der Klassiker ยังคงเป็นเกมที่มีความสำคัญทางอารมณ์และเป็นที่เฝ้ารอของแฟนบอลเสมอมา เพราะเป็นโอกาสเดียวที่ดอร์ทมุนด์จะสามารถพิสูจน์ตนเองและหยุดยั้งความรุ่งเรืองของ "เสือใต้" ได้ การปะทะกันของสีเสื้อสีแดงและสีเหลืองนี้จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันเพื่อ 3 คะแนนเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี เพื่ออำนาจ และเพื่อความเป็นเจ้าแห่งวงการฟุตบอลเยอรมนี ที่จะถูกส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และสืบทอดความเข้มข้นนี้ต่อไป
แสดงความคิดเห็น