ยุคทองของ ชตุทท์การ์ท 1980s–1990s
ในยุคทศวรรษที่ 1980s และ 1990s ถือเป็นช่วงเวลาที่สโมสร เฟาเอ็ฟเบ ชตุทท์การ์ท ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการฟุตบอลเยอรมัน โดยมีจุดเด่นและเหตุการณ์สำคัญมากมายที่ทำให้สโมสรกลายเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของบุนเดสลีกาในยุคนั้น
ยุคทองช่วงแรก: แชมป์บุนเดสลีกา 1983–84
ยุคทองของชตุทท์การ์ทเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 1983-84 โดยทีมภายใต้การคุมทีมของโค้ชเฮลมุท เบนท์เฮาส์ สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 32 ปี โดยทีมชุดนี้มีผู้เล่นคนสำคัญอย่าง กุยโด บุชวาลด์, คาร์ล-ไฮนซ์ เฟอร์สเตอร์ และ คาร์ล อัลล์โกเวอร์ ซึ่งถือเป็นรากฐานความสำเร็จในยุคต่อมา
ยุคของ "คลินซี่" และเส้นทางในยุโรป
ในช่วงปลายทศวรรษ 1980s สโมสรมีผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง เยือร์เกิน คลินส์มันน์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นดาวเด่นและพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพ (ปัจจุบันคือยูฟ่า ยูโรปา ลีก) ในฤดูกาล 1988–89 แม้จะพ่ายแพ้ให้กับสโมสรนาโปลีที่นำโดยดีเอโก้ มาราโดน่า แต่การเดินทางในครั้งนั้นก็ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรในเวทียุโรป
ยุคทองช่วงที่สอง: แชมป์บุนเดสลีกา 1991–92
หนึ่งในฤดูกาลที่น่าจดจำที่สุดคือปี 1991–92 ซึ่งชตุทท์การ์ทสามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้อีกครั้งภายใต้การคุมทีมของคริสตอฟ ดอม โดยมีผู้เล่นชั้นนำอย่าง มัทธีอัส ซามเมอร์ และ ฟริทซ์ วัลเทอร์ ซึ่งชัยชนะในครั้งนี้ถือเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกของสโมสรในยุคหลังการรวมประเทศเยอรมนี
“สามเหลี่ยมมหัศจรรย์” (Magic Triangle)
ในช่วงกลางทศวรรษ 1990s สโมสรมีแนวรุกที่อันตรายที่สุดในยุโรป โดยประกอบด้วยผู้เล่นสามคนคือ คราซิเมียร์ บาลาคอฟ (บัลแกเรีย), จิโอวานี่ เอลแบร์ (บราซิล) และ เฟรดี้ โบบิช (เยอรมนี) ทั้งสามคนถูกขนานนามว่า “สามเหลี่ยมมหัศจรรย์” (Das Magische Dreieck) โดยช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เดเอฟเบ-โพคาลในปี 1997 และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในปี 1998
ผู้จัดการทีมและปรัชญาการทำทีม
ความสำเร็จของชตุทท์การ์ทในยุคนั้นไม่ได้มาจากผู้เล่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากผู้จัดการทีมที่มีวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คริสตอฟ ดอม ที่สร้างทีมที่มีทั้งความแข็งแกร่งและสไตล์การเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ การทำทีมของเขาเน้นการผสมผสานผู้เล่นที่มีประสบการณ์กับนักเตะดาวรุ่ง จนกลายเป็นทีมที่พร้อมท้าทายสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างบาเยิร์น มิวนิค ได้อย่างสูสี









แสดงความคิดเห็น